เที่ยวแพร่ไม่แคร์ฝน
“เที่ยวแพร่ไม่แคร์ฝน ”
“แพร่” ประตูแห่งอาณาจักรล้านนาตะวันออกที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี เมืองที่เราดันตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ไปสัมผัส เป็นเมืองรองที่เราอยากบอกว่า ไม่เป็นรองเมืองไหนในประเทศทั้งนั้น ยอมรับว่าเมื่อก่อนรู้จักแพร่ก็แค่แพะเมืองผี แต่มาคราวนี้เหมือนมาเปิดโลกใหม่ ทำให้เราได้รู้จักจังหวัดนี้ในมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
ทริปนี้เราจะไปเที่ยวกันแบบ ‘ปลดปล่อย’ที่จะปลดล็อคชีวิตที่จำเจจากเรื่องราวต่างๆ มาเติมเต็มครบรสกับการเที่ยวแบบทุกสาย ไม่ว่าจะเป็นสายธรรมชาติ ที่ชื่นชอบความเขียวป่าเขา สายกินที่มีร้านอร่อยให้ตระเวณลัดเลาะได้ทั้งวัน หรือสายบุญ สายคาเฟ่ก็มีครบ ตบท้ายด้วยผู้คน วัฒนธรรม รอยยิ้ม และเสน่ห์ของการใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ที่ดูเหมือนธรรมด๊า ธรรมดาแต่สัมผัสได้ว่ามันพิเศษ และทั้งหมดนี้คือ 3 วัน 2 คืนของเมืองต้องห้ามพลาดพลัส ที่เราอยากแนะนำให้ทุกท่านไปลองสัมผัส จะได้ตกหลุมรักที่นี่เหมือนกับเรา…เมืองเล็กๆ ที่เที่ยวได้ทุกฤดู
DAY 1
ลงจากเครื่องบินที่สนามบินแพร่ปุ๊บ เราก็วางแพลนว่าจะเริ่มเที่ยวจากในรั้วกำแพงเมืองเก่ากันก่อน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกฉันใด กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องฉันนั้น เช่นนี้เองเราเลยตรงดิ่งไปที่ร้าน “ขนมจีนป้าดา” ร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 40 ปีโดยชาวบ้านมักจะเรียกติดปากว่า เป็นร้านเก่าหลังนารีรัตน์ ทีเด็ดของร้านป้าดาอยู่ที่ขนมจีนน้ำย้อย ที่เราว่าคล้ายกับขนมจีนน้ำเงี้ยวแต่เป็นน้ำซุปใสทานคู่กับน้ำพริกน้ำย้อย ที่มีรสชาติกลมกล่อมสูตรเฉพาะของจังหวัดแพร่ไม่เหมือนที่ไหน ตอนแรกเราไม่แน่ใจว่าต้องกินยังไง ป้าดาเห็นเราทำท่าเก้ๆกังๆอยู่นานจึงเข้ามาพูดคุยและเล่าถึงเคล็ดลับความอร่อยของขนมจีนเมืองแพร่ให้เราฟัง ป้าเล่าว่าน้ำเงี้ยวของป้าเป็นสูตรโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณย่าสมัยหาบขนมจีนขาย เป็นน้ำซุปกระดูกหมูที่เคี่ยวจนเปื่อย โดยมีมะเขือเทศและเลือดหมูเป็นส่วนผสมช่วยปรุงรส จึงทำให้ได้รสชาติหอมหวานและเข้มข้น ใครได้ลองก็ต้องติดใจรวมถึงเราด้วย
นอกจากเมนูขนมจีนน้ำย้อยทีเด็ดแล้ว ก็ยังเมนูอื่นให้เลือกทานอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนแกงเขียวหวาน ส้มตำรสแซ่บ ข้าวกั๋นจิ้น และน้ำสมุนไพรต่างๆ บอกเลยว่ามาแพร่ต้องมาลอง.
ถ้าเมืองเลยมีถนนเชียงคาน ภูเก็ตมีถนนถลาง เมืองแพร่ก็มี ‘ถนนคำลือ’ นี่แหละเจ้า ที่เป็นถนนเก่าแก่มีมาตั้งแต่ก่อสร้างเมือง เต็มไปด้วยศิลปะวัฒนธรรม ความอบอุ่น และแสดงให้เราเห็นความเป็นตัวตนของเมืองแพร่ ถ้าขับรถผ่านถนนเส้นนี้เราก็จะเห็น วัด คุ้มเจ้า กาด(ตลาด) และบ้านเรือนสมัยก่อน มองดูเพลินๆดี จนไปสะดุดตาเข้ากับร้านกาแฟเก๋ๆ ที่มีนามว่า “The Owl School” เข้าจึงเป็นอันให้ต้องแวะลงไปจิบกาแฟซะหน่อย
เมื่อเดินเข้ามาในร้านก็จะเห็นลูกค้าหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่นั่งเรียงรายกันเต็มหน้าบาร์พูดคุยกับบาริสต้าอย่างเป็นกันเอง ร้านนี้เค้าเน้นไปทางกาแฟดริป ใช้เมล็ดกาแฟที่ทางร้านคั่วเอง โดยส่วนมากก็จะเป็นกาแฟไทย แต่ก็มีกาแฟต่างประเทศบ้างให้ลองชิม เรารู้สึกชอบกาแฟดริปเพราะความละเมียดละไมในทุกขั้นตอนกว่าจะได้กาแฟหนึ่งแก้วออกมานี่แหละ รับรู้ได้จากจิบแรกของกาแฟที่เข้าปากเลย ว่าใส่ใจในการชงมากๆ เพื่อให้ได้ทั้งรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของกาแฟนั้นๆ เอาเป็นว่าคอกาแฟห้ามพลาดเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง
ร้านเด็ดขึ้นชื่อกับคาเฟ่สุดชิคก็มีไปแล้ว ถึงเวลาเช็คอินท์เข้าที่พักในค่ำคืนนี้บ้างดีกว่า “Homelynest Phrae” เป็นที่พักใจกลางเมืองที่ดัดแปลงมาจากบ้านพักส่วนตัวของเจ้าของมาทำเป็นโฮมสเตย์ขนาดเล็กที่แสนอบอุ่น โดดเด่นทั้งดีไซน์การออกแบบที่ใช้โครงสร้างของปูนผสมกับเหล็ก และมีการนำไม้เก่ามาใช้ผสมผสานให้ออกมาเป็นแนวสมัยใหม่แต่ยังึงคลาสสิค ของตกแต่งแทบทุกชิ้นก็เป็นของสะสมของครอบครัว ทั้งของคุณพ่อ ของคุณแม่ และของคุณยาย ร่องรอยของกาลเวลาเหล่านี้แหละทำให้เรารู้สึกประทับใจที่นี่ตั้งแต่ก้าวเข้าบ้านมา
ห้องพักมีไม่กี่ห้องแต่ทุกห้องล้วนมีดีเทลน่ารักกิ๊บเก๋แตกต่างกันไป อย่างห้องที่เราพักจะอยู่ชั้นบน เราชอบผ้าปูที่นอน ปอกหมอนที่นี่มาก เจ้าของทำเองกับมือทุกชิ้น นอกจากที่พักแล้วก็มีร้านกาแฟของคุณแม่ ร้านเสื้อผ้าวินเทจและผ้าม่อฮ่อม รวมถึงมีมุมให้ถ่ายรูปชิคๆ เยอะมากเรียกได้ว่าฝังตัวไว้ที่นี่ทั้งวันก็ยังไหว
ยามเย็นแดดล่มลมตก เราออกจากที่พักเพื่อไปสูดโอโซนเสพความกรีน และนั่งทอดอารมณ์กันที่ “อ่างเก็บน้ำแม่สาย” โชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่ที่ฝนดันตกหระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ยังดีหน่อยที่เตรียมเสื้อกันฝนมาด้วย เลยได้ถ่ายภาพฮิปๆกลางสายฝนเป็นที่ระลึกกลับไป และจึงกลายเป็นที่มาของแฮชแทค ‘เที่ยวแพร่ไม่แคร์ฝน’ ในทริปนี้นั่นเอง
จากอ่างเก็บน้ำแม่สาย เราขับรถต่อมาอีกนิดขึ้นเขามาอีกหน่อยเพื่อขึ้นมาชมความงามที่ “จุดชมวิวพระธาตุดอยเล็ง” จุดนี้เค้าว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยอีกจุดในจังหวัดแพร่ แต่มาฤดูฝนแบบเราก็อาจไม่เจอพระอาทิตย์ แต่จะเจอกับหมอกปุยสีขาวลอยตัวคลอเคลียไปกับเขา เป็นภาพที่สวยงามเหมือนในฝัน เรียกได้ว่าก็คงสวยกันไปคนละแบบ หากใครยังมีเวลาเหลือก็สามารถขึ้นไปกราบไหว้สักการะพระธาตุด้านบนได้ ด้านบนก็สามารถมองเห็นวิวเมืองแพร่แบบพาโนรามาได้อีกด้วย เป็นอันจบวันแรกด้วยภาพฟินๆนี้
DAY 2
เช้าวันที่ 2 ของการเที่ยวเมืองแพร่ เรายังคงเริ่มที่ “Homelynest Phrae” กับมื้อเช้าแบบชาวเหนือสไตล์ที่เสิร์ฟมาในปิ่นโตน่ารัก เปิดปิ่นโตมาปุ๊บก็จะเจอไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม ผักต้ม ขนมปัง ทานคู่กับข้าวเหนียวร้อนๆ และกาแฟหอมๆ จากคุณแม่อีกสักแก้ว ก็ทำให้เป็นเช้าที่สดชื่นกระปรี่กระเปร่าได้เหมือนกัน อาหารเช้าของที่นี่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทานเป็นข้าวต้ม ข้าวผัด ไข่กระทะหรือชุดอาหารเหนือแบบเรา
แง้มหน้าต่างชะโงกหน้าดูแล้ว เห็นว่าเช้านี้อากาศดีเป็นใจ มีแดดบางๆ อุ่นๆ แถมฝนไม่ตก เราจึงได้เริ่มภารกิจตามที่ตั้งใจไว้นั่นคือขี่จักรยานเที่ยวรอบรั้วเมืองเก่าของเรากัน ปล. จักรยานสามารถเช่าได้คันละ 60 บาทต่อวันเท่านั้น ติดต่อทางที่พักได้เลย หรือใครอยากขี่รถเครื่องเก๋ๆรอบเมืองก็มีให้บริการเหมือนกันนะ
จุดหมายปลายทางแรกของการขี่จักรยาน คือ “คุ้มเจ้าหลวง” เป็นสถานที่สำคัญแห่งนึงของจังหวัดแพร่ที่ควรมาเยือน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือที่เรียกว่า ทรงขนมปังขิง ที่นี่เป็นที่ประทับของเจ้าหลวงพิริยชัยเทพวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองเมืองแพร่องค์สุดท้าย พอเราขี่จักรยานผ่านรั้วเข้ามาปุ๊บก็จะเจอกับรูปปั้นองค์เจ้าหลวงตั้งตระหง่านให้กราบไหว้กัน ก่อนที่จะเข้าไปชมความงามด้านใน
ภายในได้จัดแสดงเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของเมืองแพร่ มีสิ่งของอั่งเดิมในสมัยนั้นให้เราได้ชม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะตู้เตียงหรือแม้แต่เสื้อผ้าของคนในสมัยก่อน นอกจากนี้ภายใต้อาคารสองชั้นที่เราเดินชมความงามอยู่นี้ก็ยังมีคุกใต้ดิน ไว้สำหรับคุมขังข้าทาสบริวารที่กระทำความผิด แบ่งเป็น 3 ห้อง แล้วแต่ความผิดที่ได้ทำ บรรยากาศด้านล่างก็จะดูวังเวงไปหน่อยเพราะมีแสงลอดเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยจากช่องหน้าต่าง คนเมืองแพร่มีเคล็ดอยู่ว่า...อย่าเดินหน้าหันหน้าเข้าคุก แต่ให้เดินถอยหลังเข้าคุกแทน เป็นความเชื่อว่าจะได้ไม่ติดคุกในอนาคต
ปั่นออกจากคุ้มเจ้าหลวงไม่ไกล กลับมาที่เส้นถนนคำลือ เราก็จะเจออีกกับคุ้มที่สวยงามสะกดตาตั้งแต่แรกพบ “คุ้มวงศ์บุรี” ที่นี่มีความเกี่ยวดองกับคุ้มเจ้าหลวง เพราะสร้างขึ้นตามดำริของแม่เจ้าบัวถา ชายาองค์แรกในเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เพื่อเป็นของกำนัลในการเสกสมรส ระว่างเจ้าสุนันตา ผู้เป็นบุตรีเจ้าบุรีรัตน์ และหลวงพงษ์พิบูลย์ แถมยังเป็นอาคารไม้สักทอง 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรปเหมือนกับคุ้มเจ้าหลวงนั่นแหละ เรารู้สึกได้ว่าคุ้มแห่งนี้อบอวลไปด้วยความรัก อาจจะมาจากอาคารไม้สีชมพูที่เราเห็นก็เป็นได้ ภายในอาคารได้จัดแสดงห้องต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ มีพระพุทธรูปโบราณสมัยเชียงแสนและอู่ทอง รวมถึงรูปภาพเก่าแก่ต่างๆ ที่บอกเรื่องราวของบ้านหลังนี้ไว้ให้เราเดินชมด้วย และถ้าใครเป็นแฟนละครไทยละก็ จะยิ่งต้องคุ้นตากับบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน
ปั่นเหนื่อยๆ เริ่มรู้สึกเหงื่อตก เรารีบเลี้ยวไปจอดหน้าร้าน “Be Leaf Cafe” ทันทีแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะร้านนี้เค้าได้คัดสรรเมนูผลไม้ที่พร้อมจะดับกระหายคลายร้อนให้เราได้ทุกเมื่อ มีเมนูขนมหวานสไตล์โฮมเมทและเครื่องดื่มสมูทตี้ต่างๆไว้เพียบ คือเยอะมากจนเราตาลายเลือกไม่ถูกจริงๆ แต่สุดท้ายเราก็เลือกข้าวเหนียวมะม่วงจานเด็ดของทางร้านมาชิมกับเมนูน้ำมะม่วงปั่นที่การันตีเลยว่าคัดกันลูกต่อลูก ไม่หวานฉ่ำลิ้นไม่เอามาทำ
บรรยากาศร้านก็เรียบง่ายตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นผสมลอฟ์ทนิดๆ ให้ความรู้สึกโปร่งสบายตั้งแต่ก้าวเข้าร้าน เน้นโทนสีขาวเขียวสบายตาตกแต่งด้วยดอกไม้กระจุ๊กกระจิ๊กสีสันสดใส เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบแชะภาพลงโซเชียล รับรองว่าต้องได้รูปเด็ดๆ มุมสวยๆ กลับไปอัพกันแน่นอน เราชอบร้านนี้เป็นพิเศษ อาจจะด้วยเมนูผลไม้ที่สดใหม่หอมหวาน หรือจะเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจของพนักงานในร้านก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือมาแพร่รอบหน้าต้องกลับมาร้านนี้แบบพลาดไม่ได้
เติมน้ำตาลเข้าเส้นเลือดจนพอประมาณก่อนเบาหวานจะพุ่งปี๊ด เราขับรถออกนอกเมืองบ้าง ไปสักการะ “พระธาตุอินทร์แขวนจำลอง” ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมมหาโพธิวงศาจริยาราม พุทธอุทยานดอยผาสวรรค์ ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นพระธาตุจำลองประจำปีเกิดของปีจอเหมือนที่ประเทศพม่าเลย นอกจากมาเพื่อกราบไหว้แล้วก็ยังเหมือนได้มาชมวิวสูดโอโซนไปด้วย เพราะโลเคชั่นทำเลของวัดนี้รายล้อมไปด้วยภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติชวนรื่นรมย์ใจ
นอกจากพระธาตุอินแขวนแล้ว ที่นี่ก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน ได้แก่ พระพุทธชยันตรีมหัศจรรย์ รอยพระพุทธบาท ถ้ำศิลาบรรณคูหา ซึ่งมีร่องรอยของสมบัติ ของคนโบราณอยู่ให้เราได้ชม
เรายังคงเอาใจสายบุญกันต่ออีกหน่อย พาไปสักการะ “พระธาตุช่อแฮ” กัน เค้าว่ากันว่ามาแพร่ไม่มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึง พระธาตุช่อแฮเป็นพระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของชาวแพร่มายาวนาน เป็นวัดประจำปีเกิดของชาวปีขาล องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ศิลปะเชียงแสนแบบแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองบุด้วยทองดอกบวบหรือทองจังโก มีความสวยงดงามเป็นอย่างมาก ในทุกๆปีก็จะมีประเพณีการไหว้พระธาตุช่อแฮเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน จัดที 7 วัน 7 คืน เลยทีเดียว บริเวณด้านหน้าวัดก็จะมีขายเสื้อผ้าพื้นเมืองของที่ระลึกด้วย ซึ่งของที่นี่ราคาถูกมากและมีคุณภาพ ซื้อไปไม่ผิดหวังเลย
การได้เดินหาของกินลองชิมของถิ่นที่ไม่เคยลองก็เป็นความสุขของเราอย่างนึงเวลาไปเที่ยวตามต่างเมือง มันเหมือนเราได้พาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับคนที่นั่นมากขึ้น ได้เรียนรู้วิถีชีวิจของพวกเค้าอย่างใกล้ชิด เหมือนอย่างการมาเดิน “กาดกองเก่า” นี้ สิ่งที่เราสัมผัสได้เลยก็คือการแต่งกายของชาวบ้านที่นี่ ไม่ว่าจะพ่อค้า แม่ค้า หรือคนแพร่ ต่างนุ่งม่อฮ่อม คลุมโทนน้ำเงินครามกันแทบทุกคน ซึ่งผ้าม่อฮ่อมก็เป็นผ้าคลาสสิคของเมืองแพร่ที่ใส่กันมาตั้งแต่ไหนต่อไหน ทั้งงานบุญ งานบวช งานแต่ง หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันวันปกติๆเค้าก็ใส่กัน กลายเป็นซิกเนเจอร์น่ารักๆที่เรายังอดไม่ได้ เห็นแล้วต้องซื้อใส่ตามเลยทีเดียว
เดินผ่านรั้วไม้ที่มีมีป้ายกาดกองเก่าเข้ามา เราก็จะเจอกับของขายที่มีแทบทุกอย่างทั้งอาหารเหนือ อาหารถิ่น เสื้อผ้า ผักผลไม้สดซึ่งแน่นอนว่าราคาเป็นมิตรกับเงินกระเป๋าเรามากๆ บรรยากศยามเย็นค่อนข้างคึกคักทุกคนต่างยิ้มแย้มมาซื้อของกัน เรามีโอกาสได้ลองอาหารถิ่นอย่างนึง เดินผ่านหลายร้านเห็นทุกร้านต้องมีก็คือ ‘แอ๊บปลานิล’ หน้าตาตอนแรกจะคล้ายๆไปทางห่อหมก แต่จริงๆแล้วมันคือ อาหารที่ปรุงด้วยการนำปลาสด มาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงสไตล์ชาวเหนือคล้ายกับน้ำพริกอ่องแล้วห่อด้วยใบตอง ก่อนจะนำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆจนข้างในสุก รสชาติกำลังดีเป็นการลองแอ๊บครั้งแรกของเรา
นี่แหละคือหน้าตาของแอ๊บปลานิลที่เราเล่าให้ฟัง อิ่มท้อง อิ่มใจ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดีถึงเวลากลับไปนอนเอาแรง เก็บไว้เดินทางพรุ่งนี้ต่อดีกว่า ปล. ใครมาเที่ยวแพร่แล้วอยากมาสัมผัสบรรยากาศของกาดกองเก่า มีเฉพาะวันเสาร์ตั้งแต่ช่วงเย็นเท่านั้นนะ
DAY3
เข้าสู่วันที่สาม วันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่เมืองแพร่ วันนี้เราเลยตื่นเช้ากว่าทุกวันเพื่อจะได้เก็บความทรงจำและใช้เวลาที่เหลือดื่มด่ำกับความดีงามของที่นี่ให้ได้มากที่สุด เราขับรถจากที่พักตั้งแต่ตี 5 กว่าๆเพื่อยังจุดชมวิวที่ว่ากันว่าสวยที่สุดในจังหวัดแพร่ “ม่อนแม่ถาง” เป็นภูเขาสูงที่สามารถขับรถขึ้นไปชมความงดงามของวิวธรรมชาติได้แบบ 360 องศา ช่วงเช้ายามฝนโปรยปรายแบบนี้ก็จะมีสายหมอกลอยให้เราเห็นคลอไปภูเขาน้อยใหญ่ที่พาดตัวสลับซับซ้อนไปมา มองไปด้านล่างจะเห็นวิวของอ่างเก็บน้ำแม่ถางที่ไหลผ่านขุนเขา เป็นภาพที่สุดมหัศจรรย์และแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักด้วยซ้ำ
และด้วยความที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนั้นเอง ทำให้ทั่วบริเวณที่นี่เงียบสงบมาก ได้ยินเสียงธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหวอย่างชัดเจน เส้นทางที่มาม่อนแม่ถางก็เป็นทางลาดยางอย่างดีแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไร ขับรถได้สบายๆ เราว่าถือเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวอันซีนเมืองแพร่ที่รอให้ทุกคนไปพิสูจน์ความสวยงามกัน
มีเขาแล้ว เราก็มีแล้ว แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็กาแฟดีๆ สักแก้วไว้จิบไปด้วยชมวิวไปด้วยนี่แหละ ยอมรับเลยว่านี่เป็นอีกโลเคชั่นในการจิบกาแฟที่ดีที่สุดแห่งปี พิกัด GPS 18.234010, 100.340161
อย่างที่รู้กันว่าม่อฮ่อมเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองแพร่ เราก็ไม่พลาดที่จะวางแพลนมาย้อมม่อฮ่อมด้วยตัวเองสักครั้งที่ “บ้านมัดใจ Homemade & Cafe” ที่นี่มีกิจกรรม DIY ย้อมผ้าเช็ดหน้าให้เราได้ลองทำและเรียนรู้ตั้งแต่กระบวนการแรกจนถึงย้อมเสร็จ อยากได้ลายไหนแบบไหนก็สามารถทำได้เลย มีพี่ปรางคนสวยเจ้าของร้านคอยสอนอย่างใกล้ชิด พี่ปรางบอกว่า ‘ม่อฮ่อมนี้มันมีชีวิต ที่เราเห็นอยู่ในหม้อมีฟองนั้นมันยังไม่ตาย พอเราจุ่มแล้วนำขึ้นมาเจออากาศมันก็จะเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีคราม เปรียบเหมือนมันก็ต้องใช้อากาศหายใจไม่ต่างจากเรา’ เราได้ฟังแล้วก็รู้สึกอยากจะทะนุถนอมเจ้าม่อฮ่อมไว้อย่างดี และรู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อยที่สามรถทำผ้าเช็ดหน้าสวยๆ กลับไปเป็นของฝากได้
นอกจากกิจกรรม DIY ย้อมผ้าที่เราได้ลองทำแล้ว ก็ยังมีคาเฟ่เล็กๆเปิดใหม่ในบรรยากาศอบอุ่น เป็นสไตล์บ้านไม้ไว้นั่งพักชิลล์ๆ อ่านหนังสือจิบกาแฟได้ด้วย หรือ ใครสนใจเสื้อผ้าของน่ารักจากพี่ปรางก็สามารถไปติดตามกันได้ทาง instagram : Matjaiyom เลยจ้าเราอุดหนุนเป็นประจำ เพราะชุดร้านนี้น่ารักมาก ดีไซน์เก๋แถมผ้าใส่ดีไม่ร้อนด้วย
ไม่ไกลกันนั้น ก็มีอีกหนึ่งสถานที่ที่เราเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักเป็นอย่างดี แต่ยังไม่เคยได้มานั่นคือ “แพะเมืองผี” ที่นี่เกิดจากสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นดินและหินทรายถูกน้ำกัดเซาะตามธรรมชาติเป็นเวลาหลายล้านๆปี มีตำนานเล่าถึงแพะเมืองผีไว้มากมาย แต่จริงๆแล้วคำว่า‘แพะ’นั้น แปลว่าป่าละเมาะ ส่วน‘เมืองผี’ แปลว่าเงียบเหงานั่นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อเมืองผี เดินชมด้านล่างจนทั่วแล้วก็อย่าลืมเดินขึ้นไปชมความงามมุมสูงของแพะเมืองผีด้านบนด้วย เราจะได้เห็นมุมของที่นี่กว้างขึ้นและเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น แนะนำว่าที่นี่ร้อนมาก ควรพกร่มหรือใส่หมวกไปให้พร้อมไม่งั้นอาจละลายได้พริบตา ไอติมกี่แท่งก็เอาไม่อยู่
ก่อนกลับเราแวะไปชมอันซีนอีกที่ที่ “สะพานรถไฟห้วยแม่ต้า” จริงๆที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่เที่ยวอะไรเท่าไหร่ แต่เราเคยเห็นรูปมาแล้วรู้สึกว่ามันแปลกดีเลยลองคลำทางมา ขับรถออกจากตัวเมืองประมาน 40 นาทีก็ถึง สะพานรถไฟห้วยแม่ต้านี้เป็นสะพานประวัติศาสตร์ที่ถูกระเบิด สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราเห็นจะเป็นสะพานที่สร้างขึ้นใหม่แล้ว สะพานเดิมจะเหลือแค่ตอม่อเท่านั้น และที่นี่แหละเป็นที่มาของเรื่องเล่า “เมืองแพร่ แห่ระเบิด” ถ้าใครอยากเห็นรถไฟวิ่งต้องเช็คมาก่อนล่วงหน้า เพราะในหนึ่งวันวิ่งแค่สองรอบเท่านั้น ถ้าพลาดแล้วอาจจะทำให้โปรแกรมที่วางไว้ทั้งหมดรวนได้เลยทีเดียว
ภาพมุมสูงของสะพานรถไฟห้วยแม่ต้า
3 วัน 2 คืน ในจังหวัดแพร่ของเราทริปนี้ ทำให้เรารู้ว่าเมืองแพร่ก็น่าเที่ยวไม่แพ้เมืองไหน และเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ทำให้ชีวิตเรากลับมามีรสชาติขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายเราบอกเสมอว่าการมาเที่ยวพักผ่อนในที่ที่หนึ่ง เรามองว่ามันไม่ใช่แค่มาถ่ายรูป อัพลงโซเชียลแบบเรียลไทม์แล้วก็จบไป แต่เราควรใส่ใจสิ่งรอบตัว และเสพธรรมชาติตรงหน้าเก็บไว้ในใจบ้าง เพราะถึงวันหนึ่งถ้ารูปถ่ายเหล่านั้นมันหายไป ความทรงจำและความประทับใจที่เราได้มาที่นี่จะยังคงชัดเจนอยู่ในใจเสมอ เหมือนที่จังหวัดแพร่จะอยู่ในใจเราตลอดไปนี่แหละ.
แสดงผล 14260 ครั้ง